top of page

[บันทึก : บังทัน] ทฤษเดาของ ๒ โลกที่สับสน 'ฮวายังยอนฮวา' กับ 'เลิฟยูเซลฟ์'

  • Writer: Electric Bunny
    Electric Bunny
  • Aug 19, 2017
  • 3 min read

สวัสดีค่ะทุกคน มิว E.B. เองนะคะ สำหรับบันทึกสาธารณะในกระต่ายไฟฟ้าคาเฟ่วันนี้ มิวก็ยังคงจะมาบันทึกเกี่ยวกับความคิดเห็นของตัวมิวเองเกี่ยวกับคอนเซปเลิฟยูเซลฟ์ ซึ่งเป็นคอนเซปคัมแบคใหม่ของบังทันที่จะเริ่มขึ้นในเดือนกันยายนนี้นะคะ ก็อย่างที่เคยบอกไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขียนในบันทึกนี้ เป็นแค่ความคิด (a.k.a การเดาสุ่มผสมการมโนเล็กน้อยถึงปานกลาง) ส่วนตัวของมิวล้วนๆ โปรดอย่าได้เก็บมาคิดจริงจัง และอ่านกันเพลินๆ ก็พอนะคะ ;-; เย่

ก่อนอื่น เราจะมาทบทวนกันก่อน หลังจากปล่อยบันทึกของพี่จินออกมา บังทันก็ปล่อยวีดิโอไฮไลต์รีลมาอีก โดยยึดหลักตามตัวอักษรตามนี้

起 จุดเริ่มต้น : พาร์ทเริ่มต้นของเรื่องราวของโลกเลิฟยูเซลฟ์

承 จุดดำเนิน : พาร์ทดำเนินเรื่องราว ปูเรื่องราวแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

轉 จุดสำคัญ : พาร์ทสำคัญของเรื่องที่เน้นไปที่จุดแตกหักและความเจ็บปวดของตัวละคร

結 จุดสรุป : พาร์ทสรุปเรื่องราวทุกอย่าง (รวมทุกวีดิโอ)

ซึ่งแต่ละตัวอักษรก็จะเป็นเหมือนชื่อตอนหรือคำอธิบายเรื่องราวสั้นๆ ของวีดิโอแต่ละพาร์ทนะคะ โดยเนื้อเรื่องในวีดิโอก็ได้มีส่วนที่เชื่อมโยงไปถึงรูปคอนเซปเดี่ยวของบังทันแต่ละคนอีกด้วย ทุกคนจำได้ไหมคะที่มิวเคยทำผังเชื่อมโยงเรื่องราวรูปภาพไปเมื่อบันทึกฉบับที่แล้ว? อย่างที่เคยบอก อันนั้นไม่ใช่เนื้อเรื่องจริงๆ นะคะ แต่เป็นเรื่องที่มิวเชื่อมเอาเอง ยังไงก็ลืมๆ มันไปเนอะ ;-; ถถถถ

คราวนี้เรามาดูของจริงกันดีกว่าค่ะ เริ่มกันเลย (คลิกที่ภาพเพื่อดู หรือบันทึกภาพขนาดใหญ่นะ)

๑. ภาพเดี่ยวของจองกุก

"ในวันนั้นที่ผมต้องการจะมุ่งไปสู่สถานที่นั้น สถานที่ที่หัวใจผมนำพาผมไป"

ที่จองกุกพูดถึงในที่นี้ น่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นความทรงจำของจองกุกกับพวกพี่ๆ ในกลุ่มค่ะ ซึ่งน่าจะเป็นทะเลแห่งความทรงจำที่เป็นประเด็นสำคัญมาตลอดนั่นแหละ แต่ด้วยความที่น้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จากลูป I NEED U จึงทำให้ความต้องการไม่เป็นจริง แถมพวกพี่ๆ แต่ละคนก็กระจัดกระจายกันไปคนละที่จนตามกันไม่ได้อีก ก็เลยไม่ได้กลับไปอีกเลย

(ทะเลแห่งความทรงจำ กับภาพเหตุการณ์ตอนจองกุกถูกรถชน)

อันที่จริงแล้ว น้องอาจจะพูดถึงผู้หญิงในวีดิโอที่ป่วยเหมือนกันก็ได้ แต่เพราะน้องก็ยังไม่เคยได้ไปไหนกับผู้หญิงคนนั้นนอกจากเดินในโรงพยาบาลเลย มิวเลยคิดว่าน้องน่าจะพูดถึงพวกพี่ๆ มากกว่า

๒. ภาพเดี่ยวของยุนกิ

"อย่าเข้ามาใกล้ผมมากกว่านี้นะ เดี๋ยวคุณจะไม่มีความสุข"

อันนี้เป็นประโยคที่ยุนกิพูดถึงผู้หญิงในวีดิโอค่ะ จะเห็นได้จากในพาร์ท 轉 ที่ยุนกิทะเลาะกับเธอ และพยายามออกปากไล่ให้เธอไป มิวเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมยุนกิถึงได้ต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน ในวีดิโอไม่ได้บอกความสัมพันธ์ของทั้งคู่ละเอียดถึงขนาดนั้น แต่คิดว่ายุนกิคงไม่ได้ตั้งใจทำหรอกค่ะ ตัวละครยุนกิในเรื่องถึงขั้นยอมเลิกสูบบุหรี่เลย คิดว่าไม่มีทางทำร้ายเธอได้ลงคอแน่ๆ แต่น่าจะทำเพราะต้องการปกป้องเธอมากกว่า

(ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมต้องตีตัวออกห่าง แต่เขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน)

และบางที สาเหตุการทะเลาะของทั้งคู่อาจจะมาจากโทรศัพท์ที่ยุนกิได้รับในตอนจบของวีดิโอพาร์ท 承 ก็ได้ ซึ่งในวีดิโอก็ไม่ได้เจาะลึกให้เห็นว่าใครเป็นคนติดต่อมา แต่โดยส่วนตัวแล้วมิวคิด(มโน)เอาไว้ ๒ กรณีค่ะ

(บุคคลปริศนาในมือถือคือใครกัน?)

๑. บุคคลที่ติดต่อมาเป็นใครก็ไม่รู้ (Unknown person) อาจจะเป็นเพื่อนหรือพี่ๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว และสิ่งที่ได้ฟังจากทางมือถือก็อาจจะเป็นข่าวที่เลวร้ายเกินกว่าที่ตัวยุนกิจะรับได้ หรืออาจเป็นเรื่องที่ทำให้ยุนกินึกเรื่องอะไรบางอย่างในอดีตออกจนต้องออกปากไล่ผู้หญิงคนนั้นให้ไปห่างๆ เพื่อปกป้องเธอ

๒. คนที่ติดต่อมาอาจจะเป็นจองกุก เพราะยุนกิได้รับสายนี้หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นไปแสดงเพลงที่โรงพยาบาลที่จองกุกนอนรักษาตัวอยู่ ซึ่งฝ่ายจองกุกไม่ได้รู้จักเธอเลย แต่เพราะเพลงที่เธอร้องมันให้ความรู้สึกเหมือนกับเพลงที่จองกุกเคยร้องเล่นกับยุนกิ และไฟแช็กที่ห้อยอยู่กับกีต้าร์ก็มีตัวอักษร Y.K. จองกุกเลยรู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับยุนกิแน่

(ถึงจะบาดเจ็บแต่ก็ยังคงเขียนเพลงต่อไป ทำนองเพลงที่ฟังอยู่จะเป็นทำนองของพี่ชายหรือเปล่านะ?)

หลังจากนั้นจองกุกก็เลยพยายามติดต่อเพื่อตามหาพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ฝ่ายยุนกิที่พยายามเลี่ยงไม่อยากไปเจอจองกุกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งมีได้ ๒ กรณีใหญ่ๆ คืออาจจะเป็นเรื่องที่ต่อยกันในลูป RUN หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้ว่ายุนกิอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จองกุกประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เลยกลายเป็นความรู้สึกผิดจนไม่กล้าไปเจอหน้าน้อง พอน้องติดต่อมา ยุนกิก็เลยคิดว่าจองกุกอาจจะถามเบอร์ติดต่อจากผู้หญิงคนนั้น และเธอก็ให้จองกุกไป ยุนกิเลยพยายามออกห่างจากเธอเพื่อปิดบังอดีตนั่นเอง

(สองพี่น้องผู้มีความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่น กับความห่วงใยที่เก็บซ่อนไว้ภายใน)

๓. ภาพเดี่ยวของจีมิน

"มันไม่มีทางที่คุณจะมารักคนอย่างผมได้หรอก ผมก็เลยโกหกไง"

ประโยคนี้จีมินน่าจะพูดถึงผู้หญิงที่อยู่กับพี่โฮปค่ะ มีความเป็นไปได้ว่าจีมินอาจจะสนใจหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเธอ แต่เพราะพี่โฮปกับเธอดูเข้ากันได้ดีมาก และจีมินก็ชอบพี่โฮปมากๆ เหมือนกัน จีมินก็เลยไม่กล้าที่จะเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งคู่

(ถึงจะไม่ได้ถูกเลือก แต่ก็จะคอยอยู่ข้างๆ)

สิ่งที่จีมินทำทั้งหมดก็มีแค่การคอยมองดูทั้งคู่อยู่ห่างๆ และคอยเรียนรู้วิธีการดูแลพี่โฮปที่เคยได้รับผลกระทบจากโรคมุนชอว์เซนซินโดรมจากคุณแม่ของเจ้าตัวจากผู้หญิงคนนั้นเพื่อที่จะสามารถอยู่กับทั้งสองคนได้ตลอดไป ซึ่งในระหว่างนั้น จีมินก็พยายามอดทนอยู่กับความโดดเดี่ยวและคอยโกหกเสมอมาว่าไม่ได้คิดอะไร แต่ในท้ายที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นจนผู้หญิงคนนั้นได้รับบาดเจ็บจนได้ (เหตุการณ์อยู่ในพาร์ท 轉)

(ห้องซ้อมเต้นที่ว่างเปล่า กับเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด)

ลองคิดเสริมประเด็นแบบขำๆ :

(ปล. ข้ามไปอ่านภาพต่อไปได้เลยค่ะ ส่วนนี้มิวแค่คิดเล่นๆ เฉยๆ) : ถ้าเราคิดแบบตรงๆ ตามภาพที่เห็น เราก็จะได้เรื่องราวรักสามเส้าธรรมดาๆ แบบด้านบน แต่ถ้าเราลองคิดกลับ สมมติว่าคนที่จีมินชอบไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นแต่เป็นพี่โฮป เหตุการณ์ส่วนนี้จะพลิกทันที อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างจีมินกับผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยคำว่า 'ชอบ' ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชอบแบบเชิงชู้สาวอย่างเดียวนะคะ เพราะในเรื่องนี้สำหรับจีมินแล้ว พี่โฮปเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ชายคนสำคัญ และตัวจีมินก็คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นคนเดียวที่คอยดูแลพี่ชายคนนี้ตลอดไป

(ไม่ว่าพี่ชายจะกลายเป็นยังไง น้องชายคนนี้จะอยู่ด้วยเสมอ)

แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ทำให้ความต้องการของจีมินไม่เป็นจริง เธอคนนั้นสามารถทำให้พี่โฮปยิ้มได้และสามารถให้พี่โฮปในสิ่งที่จีมินไม่สามารถให้ได้ จีมินเลยคอยจับตามองเธอ เพื่อเรียนรู้ จดจำวิธีการดูแลพี่โฮปอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วอุบัติเหตุร้ายแรงก็ดันมาเกิดขึ้น เลยกลายเป็นว่าจีมินจะต้องโกหกทั้งพี่โฮป โกหกทั้งคนรอบข้าง โกหกทั้งตัวเองว่าตัวเองไม่ใช่ต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ และพยายามปิดบังความผิดมาตลอดนั่นเอง

(รอยเลือดที่ถูกล้างออก.. เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ใช่ไหมนะ?)

ยังมีอีกประเด็น ในกรณีที่จีมินไม่ได้ชอบพี่โฮปแต่ชอบผู้หญิงคนนั้น ก็ยังสามารถคิดได้อีกอย่างคือที่จีมินพยายามทำตัวติดกับพี่โฮป คอยดูแลพี่โฮปตลอดก็เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น ไม่ได้สนใจพี่โฮปจริงๆ อย่างที่เห็นจากการกระทำเลย

(แต่มิวคิดว่าผู้ประพันธ์เลิฟยูเซลฟ์เขาคงไม่ได้คิดแบบหนังฆาตรกรโรคจิตแบบมิวขนาดนี้หรอกค่ะ ดังนั้น ประเด็นที่มิวเขียนแรกสุด จึงน่าจะใกล้ความจริงของเนื้อเรื่องที่สุดแล้ว สองอันหลังนี้มิวแค่มองเรื่องแบบให้น่าตื่นเต้นเฉยๆ ถถถถ)

๔. ภาพเดี่ยวของพี่นัมจุน

"เพียงแค่มองไปที่ด้านหลังของคุณ ผมก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา"

ประโยคนี้ พี่นัมจุนน่าจะพูดถึงผู้หญิงคนที่แจกใบปลิวค่ะ ซึ่งจะด้วยความสงสาร ความชอบในตัวผู้หญิงคนนั้นหรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่พี่นัมจุนก็คอยตามเธอไปตลอดทาง ซึ่งมิวคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พี่นัมจุนอาจจะมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้พี่เขานึกไปถึงพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในกลุ่ม พี่นัมจุนเลยไล่ตามผู้หญิงคนนั้นไป

(บางที การตามเธอไป อาจจะทำให้ได้เจอกับ 'หมอนั่น' ก็ได้)

โดยคนที่พี่นัมจุนพยายามตามหามากที่สุดก็น่าจะเป็นวีนี่แหละค่ะ เพราะคู่นี้ก็มีปัญหาที่ยังไม่ได้คลี่คลายต่อกันเหมือนกัน ในตอนนั้นที่วีต้องการความช่วยเหลือ และพยายามติดต่อหาพี่นัมจุน แต่พี่นัมจุนก็ไม่ได้รับสายเลยทำให้วีรู้สึกเสียใจและโกรธมาก

('พี่ขอโทษที่ไม่อยู่ตอนที่นายต้องการพี่มากที่สุด พี่ขอโทษ วี..')

หลังจากนั้นเป็นต้นมา พี่น้องคู่นี้ก็คลาดกันตลอด คนน้องหนี คนพี่ตามหา แต่สุดท้ายก็หากันไม่เจอสักที ซึ่งข้อความของพี่นัมจุนที่บอกไว้ในรูปคอนเซปเดี่ยวว่ายังไม่ถึงเวลา ก็น่าจะหมายถึงเวลาที่พี่นัมจุนจะได้เจอวีและคนอื่นๆ นั่นเองค่ะ

(สถานที่เดียวกัน แต่เวลาคลาดเคลื่อน)

๕. ภาพเดี่ยวของวี

"ถ้าผมเลือกตัวเลือกที่ต่างออกไป คุณก็จะไม่จากผมไปใช่หรือเปล่า?"

มาถึงตัวละครที่มีปัญหามากที่สุดในหมู่ตัวละครนะคะ #หืม..

ประโยคนี้มิวไม่แน่ใจว่าวีตั้งใจส่งถึงใคร แต่คิดว่าน่าจะพูดกับพวกพี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มตัวเองนั่นแหละ เพราะจากบันทึกของพี่จิน วีเป็นคนเดียวที่ไม่ว่าใครก็ตามตัวไม่เจอ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตามหาไม่เจอ ก็เป็นเพราะว่าวีตั้งใจหนีจากทุกๆ คนด้วยตัวเองนั่นเอง

(เหตุผลที่เขาหนี ก็เพราะเสียใจ.. เพราะ 'หมอนั่น' ทรยศเขา)

แล้วทำไมวีจะต้องหนีจากทุกๆ คนด้วย..? เรื่องนี้อาจมีเหตุผลมาจากที่วีเคยโทรศัพท์หาพี่นัมจุนในตอนที่ตัวเองเจอปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ แต่พี่นัมจุนดันไม่ได้รับสายและไม่ได้มาช่วยตามที่วีคาดหวังไว้ วีเลยรู้สึกว่าตัวเองโดนทรยศ และพี่นัมจุนก็กลายเป็น 'คนโกหก' สำหรับวีไป

(วีที่รอคอยพี่ชายอย่างคาดหวัง และตู้โทรศัพท์ที่ถูกปิดผนึก)

ซึ่งหลังจากนั้น วีก็เว้นระยะห่างจากทุกคน วีทิ้งโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อไม่ให้ใครติดต่อได้และออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ กับผู้หญิงที่เจอกันที่ร้านสะดวกซื้อ ในขณะที่ฝ่ายพี่นัมจุนก็คอยตามผู้หญิงที่แจกใบปลิวคนนั้นไปยังสถานที่ต่างๆ เหมือนกัน

(สร้างช่องว่าง ทำลายความทรงจำโดยการทำลายมือถือ)

*แต่เห็นมือถือยังตั้งอยู่เลยนะ ทำลายจริงบ่? #เดี๋ยวนะ #กรุณาจริงจัง*

โดยฉากเดินทางเหล่านี้มันมีความนัยแฝงอยู่ค่ะ ความนัยที่ว่าก็คือในขณะที่พี่นัมจุนไล่ตามผู้หญิงแจกใบปลิวคนนั้น วีก็เลือกที่จะเดินต่อไปโดยปล่อยให้ผู้หญิงร้านสะดวกซื้อไล่ตามตัวเองอยู่ข้างหลัง ความหมายตรงนี้ก็คือพี่นัมจุนพยายามอย่างหนักเพื่อตามหาวี แต่วีกลับเลือกที่จะทิ้งทุกๆ คนเอาไว้ข้างหลัง และเดินหน้าต่อไปในทางของตัวเองทั้งๆ ที่ในใจก็ยังเป็นห่วงเพื่อนๆ ในกลุ่มอยู่ จะเห็นได้ว่าตลอดการเดินทาง วีจะเดินนำผู้หญิงร้านสะดวกซื้อตลอด แต่พอเจอปัญหา วีก็เลือกที่จะปกป้องเธอและรับผิดคนเดียว มันเป็นเครื่องแสดงว่าวียังห่วง 'คนที่อยู่ข้างหลัง' หรือก็คือพวกพี่ๆ น้องๆ ของตัวเองนั่นเองค่ะ

(เมินมาตลอด แต่สุดท้ายก็ให้ความช่วยเหลือ)

และที่น่าสนใจที่สุดก็คือสายตาของวีค่ะ มันเคยมีซีนคล้ายๆ กันนี้อยู่ในหนังสั้นวิงส์เนื้อเรื่องสติกม่าของวี (ดูวีดิโอ) ตอนนั้นที่วีถูกจับ สายตาของวีรุนแรงมาก มันเป็นสายตาที่มั่นใจว่าต่อให้ตัวเองถูกจับพี่นัมจุนก็จะต้องมาช่วยตัวเองอย่างเคยแน่ๆ แต่แล้วพี่เขาก็ไม่มา สายตาของวีในไฮไลต์รีลเลยเปลี่ยนไป มันกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ในเวลานั้น วีตระหนักได้แล้วว่าตัวเองไม่เหลือใครแล้ว และคนๆ เดียวที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในตอนนี้ ก็มีแค่ 'ตัวเอง' เท่านั้น

(สายตาที่แสนมั่นใจของน้องชายผู้เชื่อว่าพี่ชายจะต้องมาช่วย กับสายตาที่สิ้นหวังเมื่อไม่เหลือใคร)

ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทักษะการแสดงของวีเลยนะคะ น้องแสดงดีมากจนพวกเราสามารถรับรู้ความรู้สึกของตัวละครได้เลย นักแสดงคิมเก่งมากจริงๆ ; - ;)d

๖. ภาพเดี่ยวของพี่โฮป

"ตราบใดที่คุณสามารถเปล่งประกาย ผมก็ไม่เป็นไรหรอก"

ต่อไปเป็นประโยคของพี่โฮปนะคะ ประโยคนี้มิวไม่แน่ใจว่าพี่โฮปกำลังพูดถึงใคร แต่ถ้าเราเชื่อมโยงไปถึงหนังสั้นวิงส์เนื้อเรื่องมาม่า มันก็มีความเป็นไปได้ว่าประโยคนี้ พี่โฮปพูดถึงคุณแม่ของตัวเองค่ะ (ในที่นี้กล่าวถึงคุณแม่ในเนื้อเรื่องคอนเซปนะคะ ไม่ใช่คุณแม่พี่เขาจริงๆ นะ)

(เอกสารผู้ป่วยของจองโฮซอก)

ถามว่าทำไมข้อความนี้ถึงมีความเป็นไปได้ว่าพี่โฮปจะกล่าวถึงคุณแม่..? ตามเอกสารบันทึกอาการป่วยของพี่โฮปที่ปรากฏในหนังสั้นวิงส์เนื้อเรื่องมาม่า (ดูวีดิโอ) มันได้ถูกบันทึกเอาไว้ว่าพี่โฮปเป็นผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบมาจากโรคมุนชอว์เซนซินโดรม (Munchausen Syndrome) โดยมิวคิดว่าโรคนี้สามารถแปลเป็นไทยได้ว่าโรคเรียกร้องความสนใจค่ะ คนเป็นโรคนี้จะมีพฤติกรรมชอบสร้างเรื่องหลอกหรือเรื่องเกินจริงขึ้นมาเพื่อให้คนรอบข้างเกิดความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งโรคนี้มันสามารถเกิดได้กับคนที่เป็นแม่เหมือนกันค่ะ โดยถ้าหากคุณแม่เกิดเป็นโรคนี้ขึ้นมาล่ะก็ ฝ่ายคุณแม่ก็จะมีอาการหลายอย่างที่ใช้ลูกตัวเองเป็นเครื่องเรียกร้องความสนใจ อาจจะดูแลลูกมากเกินไปจนทำให้พัฒนาการของลูกเสียศูนย์ หรือบางกรณีก็อาจจะทำร้ายลูกของตัวเองเพื่อจะได้พาลูกไปหาหมอ คนรอบข้างจะได้รู้สึกสงสารตัวเองกับลูกเลยก็ได้ ซึ่งการกระทำทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฝ่ายเด็กจะแทบไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าตัวเองกำลังถูกผู้ปกครองทำร้าย

(ผู้ป่วยจองผู้ต้องรับประทานยาจำนวนมากเสมอ ..คุณแม่ของเขาเป็นคนอนุญาตเหรอ?)

นอกจากนี้ คุณแม่ที่มีอาการนี้ ก็มักจะชอบให้คุณหมอออกยาที่มีฤทธิ์แรงๆ ให้ลูกเสมอ (ข้อมูลจาก Langley,2009 : ค้นจาก แฟนเพจนิติจิตวิทยา) โดยยาที่ว่าอาจเป็นยาที่มีผลข้างเคียงสูงจนอาจเป็นอันตรายกับเด็กได้เลยหากได้รับในปริมาณมากๆ แต่ทั้งอย่างงั้น ตัวคุณแม่ก็ยังอนุญาตให้คุณหมอให้ยากับลูกตัวเองต่อไป ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ที่มีคุณแม่เป็นโรคนี้ ก็มักจะได้เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ หรือไม่ตัวเด็กก็อาจจะเป็นหลายโรคทำให้ต้องกินยาหลายอย่าง จากข้อมูลตรงนี้ จะเห็นว่ามันสอดคล้องกับฉากในหนังสั้นวิงส์เนื้อเรื่องมาม่าที่พี่โฮปถูกรุมล้อมไปด้วยยาจำนวนมาก แถมยาบางตัวก็กระทบถึงการทำงานของประสาทเลยด้วยซ้ำ

(ยามากมายที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้)

แต่ถึงมันจะเป็นการทำร้าย แต่อย่างที่บอก ตัวเด็กไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังถูกผู้ปกครองของตัวเองใช้เป็นเครื่องมือเรียกร้องความสนใจ ซึ่งมิวคิดว่ามันให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับเนื้อเรื่องของพี่โฮปเลยค่ะ พี่เขายอมกินยามากมายโดยไม่ปริปากบ่นเลย พี่เขายอมทุกอย่างเพื่อให้คุณแม่เปล่งประกายที่สุด เพราะถ้าพี่เขายอม เขาก็จะกลายเป็นเด็กดี และคุณแม่ก็จะรักพี่เขามากๆ นั่นเอง

('ช็อกโกแลตสำหรับคนเก่ง.. ถ้าเขาเป็นเด็กดีล่ะก็ คุณแม่จะต้องให้สิ่งนี้มาอย่างแน่นอน' -ซิลแคลร์)

โดยจากข้อมูลทั้งหมดนี้ มันเลยทำให้มิวไม่ได้มองว่าผู้หญิงนักเต้นที่อยู่กับพี่โฮปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพี่โฮปเลยค่ะ เพราะเธอคอยอยู่ดูแลพี่โฮปร่วมกับจีมินตลอด มิวเลยมองเธอเป็นคุณแม่ คุณครูไม่ก็พี่สาวของพี่โฮปมากกว่า ;-; ถถถ

๗.๑. ภาพเดี่ยวของพี่จิน ภาพ ๑

เอาล่ะค่ะทุกคน ในที่สุด พวกเราก็มาถึงเรื่องราวของตัวละครสุดท้ายของเรื่องซึ่งมีภาพเดี่ยวถึงสองภาพกันแล้วนะคะ สำหรับเรื่องนี้ พี่จินถือว่าเป็นตัวละครพิเศษ เป็นตัวเอกหรือบอสลับ #หืม.. ของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะโลกฮวายังยอนฮวาหรือโลกเลิฟยูเซลฟ์ พี่เขาก็จะเป็นตัวดำเนินเรื่องตลอดเลย เอาเป็นว่าพวกเรามาค่อยๆ ดูกันไปทีละภาพนะคะ

"ถ้าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็

ผมก็อยากที่จะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก"

เริ่มจากภาพแรก ประโยคในภาพนี้ มีความเป็นไปได้หลายทาง พี่เขาอาจจะพูดถึงน้องๆ ในกลุ่มก็ได้ ผู้หญิงที่ทำไดอารี่ตกก็ได้ หรืออาจจะพูดถึงทั้งน้องๆ ทั้งผู้หญิงเลยก็ได้ แต่ในความคิดมิว มิวคิดว่าครั้งนี้พี่เขาน่าจะพูดถึงผู้หญิงไดอารี่มากกว่า เพราะในภาพ พี่จินถือดอกไม้แบบเดียวกับที่ไปยืนรอผู้หญิงไดอารี่ในวีดิโอพาร์ท 轉 เลย

(สั่งซื้อดอกไม้ที่เหมือนกับในไดอารี่ เป็นดอกไม้ที่ผู้หญิงไดอารี่คนนั้นชอบสินะ)

ซึ่งสาเหตุที่พี่จินบอกว่าอยากจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด ก็เป็นเพราะว่าอยากจะปกป้องผู้หญิงไดอารี่คนนั้นได้ อยากจะทำให้เธอมีความสุขที่สุด เพื่อไม่ให้เหมือนกับเหตุการณ์ก่อนๆ ที่เคยเกิดขึ้น

(และมันก็เกิดขึ้นอีกจนได้..)

..แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผู้หญิงไดอารี่คนนั้นถูกรถชนต่อหน้าต่อตาพี่จิน และเหตุการ์นั้นเองที่ทำให้พี่จินตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ เหตุการณ์ต่างๆ นานาที่พี่เขาฝังเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของสมองและพยายามลืมมันได้ย้อนคืนกลับมา เรื่องร้ายๆ ระหว่างน้องๆ ภายในกลุ่ม เหตุการณ์ที่จองกุกถูกรถชนและเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็ยังเหมือนเดิม พี่จินไม่สามารถปกป้องผู้หญิงคนนั้นได้เหมือนกับในอดีตที่พี่จินไม่สามารถปกป้องน้องๆ ทุกคนได้นั่นเอง

สำหรับภาพ ๑ อธิบายเท่านี้ก็คงพอแล้ว ต่อไปจะเป็นภาพที่ ๒ แล้วนะคะ

๗.๒. ภาพเดี่ยวของพี่จิน ภาพ ๒

"ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้

ผมอยากจะกลับไปที่ทะเลในฤดูร้อนนั่นอีกครั้ง"

ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างปล่อยภาพมาเป็นภาพคู่ และมีประโยคเหมือนกันหมด ภาพของพี่จินกลับเป็นภาพเดี่ยวและมีประโยคที่ต่างออกไป โดยประโยคในภาพนี้แหละค่ะ ที่สามารถเชื่อมไปถึงเรื่องราวในวีดิโอไฮไลต์พาร์ท 結 ได้

(หากย้อนเวลากลับไปได้ จะย้อนกลับไปตอนไหน และ.. จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไร?)

ซึ่งในวีดิโอไฮไลต์พาร์ท 結 พี่จินพูดเอาไว้แบบนี้ค่ะ

'ถ้าเราสามารถหมุนเวลากลับได้ พวกเราควรจะย้อนกลับไปช่วงไหนดี?

เมื่อเราไปถึง ณ สถานที่แห่งนั้น ความผิดพลาดและบาปของพวกเราจะถูกลบล้างได้ไหม?

ความสุขจะอยู่กับเราหรือเปล่า?'

จบประโยคนี้ ภาพก็จะตัดไปตอนที่พี่จินรับดอกคาลล่าลิลลี่ ๗ ดอกเอาไว้ก่อนที่แจกันแก้วมันจะล้ม โดยเหตุการณ์นี้จะมีวันที่ระบุเป็นวันที่ ๓๐ สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พี่จินแต่งตัวออกไปพบผู้หญิงไดอารี่ด้วย ตรงนี้แหละค่ะคือจุดเปลี่ยน พี่จินได้ย้อนเวลากลับมาวันที่ ๓๐ สิงหาคมอีกครั้ง โดยครั้งนี้พี่เขาตัดสินใจที่จะรับแจกันคาลล่าลิลลี่เอาไว้ไม่ให้มันล้มต่างจากตอนที่ออกไปพบผู้หญิงไดอารี่ และ(น่าจะ)ตัดสินใจไม่ออกไปพบเธอ แต่ไปที่อื่นแทนเพื่อที่จะเปลี่ยนอนาคตนั่นเองค่ะ

(ลูปที่ ๑ : เลือกออกไปพบผู้หญิงไดอารี่ กับ ลูปที่ ๒ : เลือกเส้นทางอื่นเพื่อปกป้องเธอไม่ให้ถูกรถชน)

และประโยคช่วงสุดท้ายในวีดิโอไฮไลต์พาร์ท 結

'แม้จะผ่านพ้นไปหลายฤดู แต่มันก็ยังคงมีสถานที่ที่ไม่สามารถไปถึงได้

ยังคงมีพายุลูกอื่นๆ ที่ยังต้องเผชิญหน้า และยังต้องตากลมตากฝนอีกมากมาย

ทั้งการรักที่ไร้ซึ่งความกลัว ความลังเลและความพลัดพราก

ก็แค่ใช้ชีวิต อย่างที่ตัวเราเป็นก็พอแล้วล่ะ'

หรือสรุปแบบดิบๆ ก็คือ การใช้ชีวิตมันไม่ง่ายหรอก ความสุขมันหายาก ในแต่ละวันก็ล้วนต้องมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย วิธีการผ่านมันไปก็คือใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นเราก็พอนั่นเอง

(ทะเลกว้างขวางที่ปรากฏขึึ้นมาในช่วงสุดท้าย)

เพิ่มเติมความหมายของดอกคาลล่า ลิลลี่ : คาลล่า ลิลลี่เป็นดอกไม้แห่งความสว่างไสว มักใช้ประดับงานแต่ง เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ จะค่อยๆ บานอย่างช้าๆ และมีความคงทน การที่ในแจกันแก้วของพี่จินมีทั้งหมด ๗ ดอก อาจจะหมายถึงตัวเองและน้องๆ อีก ๖ คนที่ผ่านเหตุการณ์ลำบากด้วยกันมามากมายแต่ก็ยังคงเบ่งบานสวยงามได้อยู่ก็เป็นได้

(คาลล่า ลิลลี่ บุปผาแห่งความรื่นรมย์)

จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ก็จะสามารถสรุปเรื่องราวได้ง่ายๆ ว่า 'โลกเลิฟยูเซลฟ์' ก็ยังคงเหมือนและเป็นส่วนหนึ่งของ 'โลกฮวายังยอนฮวา' คือเป็นโลกลูปที่ไม่สิ้นสุด พี่จินยังคงย้อนเวลาไปเรื่อยเพื่อแก้ไขและหาทางทำให้เรื่องราวมันจบลงด้วยดีที่สุด จะเห็นได้ว่าในกลุ่มพี่น้อง ๗ คนที่สนิทกัน พี่จินเป็นคนเดียวที่สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ และเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีความต้องการหลายอย่าง เช่น 'อยากจะเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก' บ้าง หรือไม่ก็ 'อยากจะกลับไปที่ทะเลในฤดูร้อนนั่นอีกครั้ง' และอะไรต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งความต้องการเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาตามสถานการณ์ในแต่ละลูปค่ะ

ยกตัวอย่างเช่น ในลูปที่พี่จินได้เจอกับผู้หญิงไดอารี่ ทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แต่สุดท้ายเธอก็ดันเจอกับอุบัติเหตุเพราะออกมาพบกับพี่จิน พี่จินก็เลยคิดว่า 'ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายที่ดีกว่านี้ ถ้าเธอไม่ออกมาพบเขา เธอคนนั้นก็คงไม่ต้องเจอกับอุบัติเหตุ' ซึ่งหลังจากนั้นการย้อนเวลาก็ได้เกิดขึ้นและนำไปสู่เหตุการณ์ลูปอื่นๆ เสื้อผ้ามากมายข้างๆ กระจกนั่นก็คือเสื้อผ้าที่พี่จินเคยใส่ท่องไปเปลี่ยนเหตุการณ์ในแต่ละลูปนั่นเอง

(ถ้าจำนวนเสื้อผ้า คือจำนวนครั้งที่เขาย้อนเวลา.. งั้นคิมซอกจินต้องเจ็บปวดมากี่ครั้งแล้วล่ะ?)

(เสื้อตอนไปพบหญิงไดอารี่ กับใน I NEED U คล้ายกันนิดหน่อย หรือหลังจากเกิดอุบัติเหตุ จะเข้าสู่ลูป I NEED U นะ?)

เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้หญิงในวีดิโอ : หลายคนอาจจะสงสัยว่าผู้หญิงในวีดิโอเป็นใครกันแน่ และเป็นสัญลักษณ์แทนอะไร ถ้ายังจำกันได้ ในหนังสือเรื่องเดเมี่ยน จะมีตัวละครผู้หญิงที่เชื่อว่า 'เบีียทริคส์' ซึ่งเป็นผู้หญิงที่ซิลแคลร์หลงรักอยู่ โดยเหล่าสาวๆ ในวีดิโอก็แทนเบียทริคส์นั่นเอง โดยในขณะเดียวกัน บังทันแต่ละคู่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันก็เปรียบเสมือน 'เดเมี่ยน' กับ 'ซิลแคลร์' ของกันและกันนั่นเอง ยกตัวอย่างคู่ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือคู่ ยุนกิกับจองกุกค่ะ (จริงๆ มิวเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วในเว็บเก่าของมิว แต่มิวจะมาเขียนแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องกว่าเดิมนะคะ)

ย้อนกลับไปในหนังสั้นวิงส์ช่วงเนื้อเรื่องบีกินส์ (ดูวีดิโอ) จะมีซีนหนึ่งที่จองกุกวาดรูป และภาพออกมาเป็นใบหน้าของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วตามในหนังสือ จะมีช่วงที่ซิลแคลร์วาดรูปและเขาตั้งใจจะวาดรูปเบียทริคส์ ผู้หญิงที่เขาชอบ แต่ภาพที่ออกมามันดันไม่ใช่เบียทริคส์แต่เป็นเดเมี่ยน เพื่อนของเขาซะยังงั้น

(ภาพวาดของเด็กผู้ชายปริศนา เขาคนนี้คือ 'เดเมี่ยน')

จากตรงนี้นี่แหละ ที่เป็นเครื่องบอกว่าจองกุกคือ 'ซิลแคลร์ของยุนกิ' ส่วนยุนกิที่อยู่ในภาพของจองกุกก็คือ 'เดเมี่ยนของจองกุก' และในบางกรณี ยุนกิก็คือ 'ซิลแคลร์ของจองกุก' และจองกุกก็คือ 'เดเมี่ยนของยุนกิ' เช่นกัน เพราะตลอดเกือบทุกเอ็มวีจะเห็นได้ว่าทั้งคู่ต่างช่วยเหลือกัน ประคับประคองกันให้อยู่กับร่องกับรอยเสมอ แล้วแต่ว่าลูปนั้นๆ ใครจะช่วยใครเท่านั้นเอง ดังนั้น สำหรับบังทันคู่อื่นๆ แต่ละคนก็ล้วนเป็นซิลแคลร์กับเดเมี่ยนของกันและกันด้วยนั่นเอง

(ภาพที่จองกุกถือคือภาพของยุนกิ ตัวแทนของ 'เดเมี่ยน' สำหรับจองกุก)

โบนัส! ความคาวาอี้ระหว่าง 'เดเมี่ยน' กับ 'ซิลแคลร์'

ถ้าใครเคยอ่านในหนังสือ จะรู้ว่าตอนจบของเรื่องเดเมี่ยนจะมีฉากน่ารักๆ ระหว่างสองคนนี้อยู่ ฉากที่ว่าก็คือฉากที่เดเมี่ยนนำจูบของอีวา แม่ของเจ้าตัวมามอบให้กับซิลแคลร์นั่นเอง และนี่คือประโยคบางช่วงบางตอนที่เดเมี่ยนบอกกับซิลแคลร์ค่ะ

(ประโยคบางช่วงบางตอนจากเดเมี่ยนถึงซิลแคลร์)

'ฉันจะให้จูบที่อีวาฝากมาให้นายนะ หลับตาซะ ซิลแคลร์!'

และทั้งคู่ก็จูบกันค่ะ.. ซึ่งในเรื่องนี้ บังทันแต่ละคู่ก็มีความสััมพันธ์แบบ 'เดเมี่ยน' กับ 'ซิลแคลร์' เหมือนกัน ทุกคนรู้ใช่ไหมคะ? ว่ามิวกำลังจะสื่อถึงอะไร ;-; #หืม ถถถถ

สรุปเกี่ยวกับความหมายของคอนเซปเลิฟยูเซลฟ์ : เป็นเรื่องราวที่ทำให้เหล่าบังทันตระหนักได้ว่าการรักตัวเองนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความรักทั้งหมด และการได้รู้ตัวตนจริงๆ ของตัวเองก็จะทำให้พวกเขาสามารถรักใครบางคนได้อย่างแท้จริง

..ค่ะ และทั้งหมดนี้ก็คือโลกเลิฟยูเซลฟ์ที่มิวคาดเดาค่ะ เป็นยังไงกันบ้างคะ? สนุกกันหรือเปล่า? ถ้าเกิดว่ามีส่วนที่เขียนงงๆ หรือเขียนไม่เข้าใจ มิวต้องขออภัยมา ณ ที่นี้เลยนะคะ เพราะมิวเขียนบันทึกลงคาเฟ่แบบสดๆ โดยไม่ได้ร่างอะไรเลย มันเลยอาจจะมีข้อผิดพลาดนิดหน่อย ยังไงก็ต้องขออภัยล่วงหน้านะคะทุกคน orz *ก้มพำนักรัวๆ*

และก็สำหรับการคาดเดาเกี่ยวกับโลกเลิฟยูเซลฟ์ครั้งนี้ มิวก็ขอจบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้นะคะ อย่างที่บอกไปว่ามันเป็นเพียงแค่การเดาเท่านั้น มันอาจจะไม่ถูกต้องตามนี้ก็ได้ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะที่เข้ามาอ่านกัน ถ้ามีอะไรที่น่าสนใจมาอีก มิวก็จะมาทำบันทึกใหม่ในตอนที่มีเวลาอย่างแน่นอนค่ะ ;-; เย่

อ่านบันทึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน (แนะนำ) :

Comments


Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Twitter Basic Square
bottom of page